มองลึก-นึกไกล-ใจกว้าง-โดย-ท่าน-ว.วชิรเมธี

หนังสือ ธรรมะ เรื่อง มองลึก นึกไกล ใจกว้าง

โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

ขนาด 14.5*21 cm

จำนวน  178 หน้า

สี่สีทั้งเล่ม

ปกอ่อน

..........................................................................

มองลึก นึกไกล ใจกว้าง  (ว วชิรเมธี)

หนังสือเล่มนี้พิมพ์ถึง 32 ครั้งแล้ว    และราคาเพียง 100 บาท

  ผมรู้สึกว่าราคาไม่แพง สามารถซื้อหาไปอ่านกันได้สบายกระเป๋า 

  ในบรรดาหนังสือธรรมะ ผมมีหนังสือของท่านพุทธทาสมากสุด และก็ชอบอ่าน

เพราะรู้สึกว่า ได้เรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆ ได้เรียนรู้เรื่องชีวิตจริงๆ

ส่วนของท่านอื่นนั้น บางครั้งก็ไม่ตรงกับที่ผมอยากอ่าน  มาระยะหลังผมอ่านของท่าน

ว. วชิรเมธีมากขึ้น ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่า นี่คือ พระธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คือ  ทัศนะของท่านทั้งหมดนั้น

โยงใยเข้าหาธรรมะของพระพุทธเจ้าได้อย่างแยบยล

และชวนให้คนอ่านรู้สึกอยากปฏิบัติหรืออยากเข้าถึงธรรมะบ้าง 

  ท่านเป็นคนรู้กว้าง ก็อย่างที่ประวัติท่านบอกว่าไว้ เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก

   หนังสืออะไรก็อ่านได้หมด    และก็ไม่แปลกถ้าหากท่านจะสามารถหยิบเอาพระพุทธพจน์

หรือหัวข้อหลักธรรมใดๆ มาอธิบายให้กระจ่างแจ้ง เพราะว่าท่านจบ ปธ. 9 

เมืองไทยมีพระดีๆที่คอยเป็นที่พึ่งทางใจให้กับคนไทยไม่น้อยนะครับ 

เรามีพระนักปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ  มีวัดป่า มีพระนักเทศน์

  มีพระที่ควรแก่การกราบไว้บูชา เพียงแต่ว่าสังคมเรามี

ความเจริญด้านวัตถุควบคู่ไปกับความเสื่อมด้านศีลธรรม  

คนบางคนก็ไหว้พระเพื่อจะขอพร ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว พรไม่มีหรอก ต้องทำความดีด้วยตัวเอง

หนังสือเล่มนี้ผมอ่านจบภายใน 1 ชั่วโมง อ่านเร็วเพราะว่าเนื้อหาอ่านสบายๆ  

ท่าน ว เสนอเป็นทางสายกลางให้ทุกคนได้ตระหนัก ได้คิด

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การพัฒนาชีวิต การเรียนรู้อยู่รู้กินในสังคมวัตถุนิยมแต่เต็ม

ไปด้วยปัญหาเศรษฐกิจ หรือสุดท้ายคือ ประเด็น

ของปัญหาความขัดแย้งระหว่างสีแดง สีเหลือง และสีอื่นๆ ท่านก็พูดได้อย่างกลางๆ 

จริงๆแล้วถ้าหากสังคมไทยเรามีภูมิปัญญา และเป็นสังคม

ที่อริยะเพียงพอ เราคงไม่ต้องเจอกับวิกฤติหลายๆอย่าง แบบที่เจอกันปัจจุบันนี้ 

ปัญหาคือ สังคมแปลกแยก แตกต่าง คนละขั้วความคิด ไม่มีใครจะฟังใคร 

  คือ สุดขั้วไปทั้งสองด้าน  ตะบึง ตะแบงกันไป

จะว่าไปทำไมมี  พระดีๆสั่งสอนธรรม  สั่งสอนอริยสัจ  สั่งสอนให้ดำเนิน

ชีวิตตามหลักที่พระพุทธองค์ชี้ทางไว้  แต่คนก็ไม่ฟัง 

เพราะฟังแล้ว มันไม่ให้ความหวังว่าเขาจะรวย ไม่เหมือน พระใบ้หวย

พระเสกของขลัง และก็ไม่เหมือนกับการไปบนบานเทพต่างๆ  

เหตุที่คนเราไม่ฟังธรรมนั้น ง่ายๆก็คือ เขาบอกว่า ธรรมไม่ได้ช่วยทำให้เขารวย  

คนเราต้องการรวยกันครับ   ใครก็อยากรวยกันทั้งนั้น  ยิ่งนับวันความรู้สึกนี่ยิ่งกล้าแข็งขึ้น

เพราะคนเราวัดกันที่วัตถุ  เสื้อผ้า เกียรติยศ บ้านหลังโตๆ 

ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผู้สร้างออกมาขาย เพราะกลไกของการตลาดคือการแข่งขัน 

เมื่อคนเราเอามันมาวัดกัน  ก็ต้องยอมเป็นทาส หาเงินมาซื้อหา

ฃไว้ให้ตัวเองดูเป็นคนมีเท่านั้นเอง   จะโทษนักการตลาด

หรือจะโทษเทคโนโลยี หรือจะโทษความไม่รู้เท่าทันของตัวเองดีล่ะครับ?  

วกกลับมาที่หนังสือเล่มนี้  ผมชอบในภาคที่ 2  คือ ใช้ชีวิตอย่างไร

ในยุคทุนนิยม ท่าน ว เปรียบเทียบให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า

ถ้าหากเราตามใจกิเลส   ตัณหา  ทุกอย่างมันไม่มีที่สุดหรอก

ได้นั่นแล้วก็อยากได้นี่ อยากได้โน่นอีก  เพราะคนเราไม่เคยมีความพอดี  

เมื่อสังคมไม่เคยหยุดยั้งการบริโภค ทรัพยากรก็หมดสิ้นไปเรื่อยๆ

  ท่าน ว เปรียบเทียบว่า บ้านเราเคยมีป่าไม้ติดอันดับ 10 ของโลก

บ้านเราเคยมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันนี้ ทรัพยากรเหล่านี้ถูกนำไปใช้หมดแล้ว

ในภาคที่ 3 นั้น ท่าน ว เตือนสติให้คนที่ถือหางข้างโน้น ข้างนี้

แบ่งสี แบ่งพรรคพวก ว่าพวกเขากำลังทำในสิ่งที่ผิดไปจากสิ่ง

ที่พระพุทธเจ้าเคยปฏิบัติ เคยสอน ท่าน ว ว่า สังคมควรจะมีปัญญา

คนในสังคม ควรจมีปัญญา จึงจะสามารถร่วมใจกันฝ่าวิกฤติไปได้

หนังสือเล่มนี้  คนอ่านจะเป็นเหลือง เป็นแดง หรือเป็นคน

ที่ถือประโยชน์ของชาติเป็นใหญ่ โดยตั้งใจอย่างดี

ว่าประเทศเราต้องมีอนาคตที่ดี  สามารถอ่านได้หมดครับ  

  จะได้รู้เท่าทันทุนนิยม และลัทธิบริโภคนิยมไปด้วยในตัว  

..........................................................................................

คัดลอกบทความบางส่วนมาจาก 
a day bulletin ISSUE 25 9-15 JANUARY 2009
THE WISDOM OF LIFE 
สัมภาษณ์ : เวสารัช โทรผลิน


พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี
อาตมาคิดว่าธรรมะที่เหมาะกับคนกรุงเวลานี้ มี 3 ข้อ คือ มองลึก นึกไกล และ ใจกว้าง มองลึก

คือ เวลาที่เรามองอะไร อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเราต้องมองให้ลึกไปกว่านั้น

อย่าไปติอยู่แค่ภาพลักษณ์ภายนอกของสิ่งต่างๆที่เราเห็น เหมือนที่อองตวน

เดอ แซงเตก ซูเปรี พูดเอาไว้ในเจ้าชายน้อยว่า สิ่งที่สำคัญไม่อาจเห็นด้วยตา

ถ้าเรามองอะไรเพียงผิวเผิน เราก็จะถูกปรากฎการณ์ลวงได้ เช่น

เวลาเรามองเห้นคนกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อเหลือง เราก็บอกว่านี่คือพันธมิตร

เห็นคนกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อแดง เราก็บอกว่านี่คือ นปช. แล้วคุณก็ประเมินคุณค่าของคนจากสีเสื้อที่เขาใส่

โดยหารู้ไม่ว่าคุณค่าของคนลึกซึ่งกว่าสิ่งที่เขาสวมใส่นับร้อยนับพันเท่า ถ้ามองอะไรอย่างผิวเผิน

เราก็จะถูกหลอก ถูกลวง ถูกโฆษณาชวนเชื่อได้อย่างง่ายดาย ไปๆ มาๆ คนไทย ทั้งประเทศ

อาจจะถูกเขาสนตะพายให้ฆ่ากันเอง โดยที่คนสนตะพายเสวยสุขอย่างราชาอยู่ทีไหนก็ไม่รู้ในโลกนี้

แต่คนที่ฆ่ากันเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเราต้องฆ่ากันเอง ฉะนั้นเราต้องมองให้ลึก

สอง นึกให้ไกล หมายถึง imagination ขอให้เราเรียนรู้ที่จะมีวิธีคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล

อย่างลึกซึ้ง เรียนรู้ที่จะมองอะไรทุกแง่ทุกมุม เช่น เรียนรู้ที่จะมองอดีต เพื่อเก็บรับซึมซับบทเรียนจากอดีต

มากำหนดปัจจุบันเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการปัจจุบันเพื่อที่จะวางรากฐานไปสู่อนาคต ถ้าเราเรียนรู้อดีต

เราจะเห็นว่าถ้าสังคมไทยแตกสามัคคีเมื่อไรก็เสียบ้าน เสียเมืองเมื่อนั้น อดีตจะสอนเราให้กำหนดปัจจุบัน

ว่าเราต้องรักกัน แล้วทำอย่างไรเราจะรักกัน เราก็มาวางรางฐารให้กับสังคมไทย ใน 10 ปี 50 ปีข้างหน้า

เราจะได้ไม่ต้องวนเวียนวุ่นวายทะเลาะกันเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราต้องนึกให้ไกล นึกไปถึงอดีต นึกถึงปัจจุบัน

แล้วนึกไปถึงอนาคต นึกถึงตัวเองแล้วก็นึกถึงคนอื่น นึกถึงสังคมไทยแล้วก็นึกเชื่อมโยงไปในประชาคมโลกด้วย

เวลาเรานึกอะไร เราควรจะทำตัวเหมือนเป็นแมงมุมที่อยู่ตรงกลางของใยแมงมุม ซึ่งขยายสาขา

ถักทอเส้นใยไปในทิศทั้งแปด ถ้าเรามองรอบตัวอย่างนั้นเป็นเมื่อไร เราจะเป็นคนไทยที่มีความลึกซึ้ง

จะไม่กลายเป็นคนไทยฉาบฉวย ขอให้เรามีวัฒนธรรมทางปัญญา ลดความเชื่อลงให้น้อยๆ

แล้วเพิ่มความรู้ให้มากๆ ปฏิยัติตามหลักกาลามสูตรเยอะๆ กล่าวคือ มีสติปัญญา

ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้ายังไม่ได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยต้วเองเวลานี้คนไทย

เชื่ออะไรกันง่ายเหลือเกิน ใครมาเป่าก็ปลิวแล้ว

และอาตมาอยากให้คนไทยใจกว้าง ถ้าเราใจกว้างสามารถฟ้งเสียงที่แตกต่างหลากหลายได้

เราจะทนต่อคนโง่ได้ พอๆกับคนโง่ทนต่อคนฉลาดได้ เราจะทนต่อคนที่ศาสนาแตกต่างจากเราได้

เห็นไหนว่า พอเราใจกว้างแล้วโลกนี้จะน่าอยู่ เราจะมองความแตกต่างหลากหลายว่า

เป็นความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นความหลากหลายทางกายภาพ

เป็นความหลากหลายทางจิตวิญญาณ ความหลากหลายนี่แหละจะทำให้เรา

มีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข และประการสำคัญที่สุด การที่เราจะใจกว้างได้ เราต้องมีท่าทีแบบ

สัจจานุรักษ์ หรืออนุรักษ์สัจจะ คือการไม่ผูกขาดความจริงว่า สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้เท่านั้น

สิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อเท่านั้น คือความจริงสมบูรณ์ ท่าทีเช่นนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นท่าทีที่ไม่ดี

เราจะต้องมีท่าทีแบบสัจจานุรักษ์ ด้วยการบอกว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้นะ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้นะ

ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้นะ ข้าพเจ้าได้ยินมาอย่างนี้นะ ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ท่านคิดอย่างไร

ท่านลองว่ามาสิ นี่คือท่าทีแบบสัจจานุรักษ์ ในเมืองไทยตอนนี้ คนส่วนใหญ่เอาความจริงมาปน

กับความเห็น แล้วก็บอกว่า ความเห็นนี่แหละ คือความจริง ท่าทีอย่างนี้ทำให้เราเป็นคนใจแคบ

ใครเห็นต่างจากเรามีค่าเท่ากับ เขาเป็นคนเลว นำไปสู่สงครามระหว่างประชาชนคนไทยด้วย

กันเอง ประการสำคัญที่สุด การที่เราเป็นคนใจแคบ ทำให้พื้นที่ในการอยู่บนโลกของเราแคบ

ลงไปเรื่อยๆพรปีใหม่นี้ ก็คือ ขอให้คนไทยมองลึก มองอะไรให้เห็นไปถึงปรากฏการณ์ที่ซ่อน

อยู่เบื้องหลังของสิ่งนั้นด้วย สองนึกไกล ให้นึกโยงใยเป็นเหตุเป็นผล เราจะได้เป็นคนที่ใช้

ปัญญาในการดำเนินชีวิตแทนไสยาศาสตร์ แล้วก็ใจกว้าง เราจะสามารถอยู่ในโลกที่เต็มไป

ด้วยความแตกต่างหลากหลายได้อย่างสันติ